Уช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา TypeScript ได้ก้าวขึ้นมาเป็นมาตรฐานในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันทั้งในฝั่ง Frontend และ Backend การพัฒนาด้วย TypeScript ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ที่นักพัฒนาหลายคนเลือกใช้ แต่กลายเป็นวิธีการที่ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจว่า TypeScript มีประโยชน์อย่างไร และทำไมมันถึงกลายเป็นมาตรฐาน พร้อมแชร์ไอเดียการออกแบบ API ที่ทำงานร่วมกับฐานข้อมูลอย่างราบรื่น
ทำไม TypeScript ถึงกลายเป็นมาตรฐานสำหรับทั้ง Frontend และ Backend?
1. ความปลอดภัยของโค้ด (Code Safety)
- TypeScript เพิ่มความปลอดภัยในการเขียนโค้ดด้วยระบบ Type Checking ที่ช่วยลดข้อผิดพลาดในระหว่างการพัฒนา เช่น การส่งค่าผิดประเภทให้กับฟังก์ชันหรือออบเจ็กต์
- ตัวอย่าง
function add(a: number, b: number): number {
return a + b;
}
// Error: Argument of type 'string' is not assignable to parameter of type 'number'.
add(5, "10");
2. เพิ่มความเข้าใจในโค้ด (Improved Code Readability)
- ด้วยการกำหนดประเภทข้อมูล (Type Annotations) นักพัฒนาคนอื่นที่มาทำงานต่อจะเข้าใจโครงสร้างของโค้ดได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยการอ่านเอกสารเพิ่มเติม
3. ประสบการณ์การพัฒนาที่ดีขึ้น (Better Developer Experience)
- TypeScript ทำงานร่วมกับเครื่องมืออย่าง VS Code ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมาพร้อมฟีเจอร์ Auto-Complete และ IntelliSense ที่ช่วยเร่งความเร็วการพัฒนา
4. เหมาะกับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ (Scalability)
- ในโปรเจกต์ที่มีหลายทีมและไฟล์จำนวนมาก TypeScript ช่วยทำให้โค้ดมีความเป็นระบบ และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดเมื่อมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่
5. ใช้ได้ทั้ง Frontend และ Backend
- TypeScript รองรับการใช้งานทั้งในฝั่ง Frontend (React, Next.js) และ Backend ทำให้นักพัฒนาสามารถใช้ภาษาที่เดียวกันได้ทั่วทั้งระบบ
ประโยชน์ของการใช้ TypeScript ในฝั่ง Backend
1. โครงสร้างโค้ดที่ชัดเจน
- TypeScript ช่วยให้โค้ดใน Backend มีโครงสร้างที่อ่านง่ายและมีความเป็นโมดูล ทำให้การจัดการ API และการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลสะดวกขึ้น
2. การจัดการข้อผิดพลาดที่ดีขึ้น
- TypeScript รองรับการใช้ Try-Catch และการตรวจสอบประเภทข้อมูลในขั้นตอนคอมไพล์ ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นใน Runtime
3. เหมาะกับการพัฒนา API และ Microservices
- ด้วย TypeScript การสร้าง REST API หรือ GraphQL API ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไอเดียการสร้างฐานข้อมูลและ Mock API ด้วย TypeScript
1. สร้าง API สำหรับเก็บข้อมูลผู้ใช้ (User)
- ตัวอย่างโครงสร้างข้อมูล User:
interface User {
id: number;
name: string;
age: number;
}
เราสามารถใช้ Mock API สำหรับการเริ่มต้น โดยเก็บข้อมูลในตัวแปร Array ในหน่วยความจำ เช่น ตัวอย่างด้านล่างนี้:
const users: User[] = [
{ id: 1, name: 'Alice', age: 25 },
{ id: 2, name: 'Bob', age: 30 },
];
app.get('/users', (req: Request, res: Response) => {
res.json(users);
});
app.post('/users', (req: Request, res: Response) => {
const newUser: User = {
id: users.length + 1,
...req.body,
};
users.push(newUser);
res.status(201).json(newUser);
});
2. การปรับใช้ร่วมกับ Frontend
เราสามารถทดสอบการเชื่อมต่อ API เหล่านี้กับ Frontend เช่น React หรือ Next.js โดยการเรียก API จาก Mock Server หรือฐานข้อมูลจริงผ่านฟังก์ชัน fetch
หรือไลบรารีอย่าง Axios
const fetchUsers = async () => {
const response = await fetch('/users');
const users = await response.json();
console.log(users);
};
TypeScript เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การพัฒนา Full-Stack มีความเสถียร ปลอดภัย และง่ายต่อการดูแลรักษา โค้ดที่เขียนด้วย TypeScript ช่วยลดข้อผิดพลาดและทำให้โปรเจกต์ขนาดใหญ่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การสร้าง API แบบง่าย ๆ ด้วย Mock API และการพัฒนาไปสู่ฐานข้อมูลจริงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพสำหรับการเริ่มต้นและขยายระบบในอนาคต
ขอบคุณที่อ่าน☺︎
Перекладено з: ประโยชน์จากการใช้ TypeScript ในฝั่ง Backend และ Frontend